- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 24-30 เมษายน 2563
ข้าว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,699 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,642 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.39
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 9,548 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,546 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.02
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 34,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 16,250 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 16,170 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่ ) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,117 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,942 บาท/ตัน) ราคา
สูงขึ้นจากตันละ 1,113 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,867 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35 และสูงขึ้นในรูปเงินบาท
ตันละ 75 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 556 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,890 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 553 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,821 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.54 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 69 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 530 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,054 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 528 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,015 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.37 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 39 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 552 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,762 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 550 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,724 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.36 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 38 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.1769
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวไม่มาก โดยข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 440-450 ดอลลาร์สหรัฐฯ (สูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี) เนื่องจากในช่วงนี้ผู้ส่งออกไม่กล้าที่จะทำสัญญาขายข้าวเพราะไม่มั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบข้าวให้ผู้ซื้อได้หรือไม่ หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายจำกัดการส่งออกข้าว
ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการส่งออกข้าวของเวียดนามนั้น นายกรัฐมนตรี Nguyen Xuan Phuc ได้แถลงว่าจะยกเลิกการกำหนดโควตาส่งออกข้าวเพื่อฟื้นการส่งออกข้าวของประเทศให้กลับมาเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป หลังจากที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม (the Ministry of Industry and Trade) ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีให้ยกเลิกการกำหนดโควตาส่งออกข้าวตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้
เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุญาตให้ส่งออกข้าวได้อีกครั้งแต่จำกัดปริมาณการส่งออกใน
เดือนเมษายนที่ 500,000 ตัน เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศจะมีอาหารเพียงพอในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าระบุว่า หลังจากที่ได้มีการพิจารณาข้อมูลต่างๆ ทั้งการผลิตและความต้องการข้าว โดยได้จัดสรรส่วนหนึ่งไว้สำหรับการบริโภคภายในประเทศและเก็บสำรองแล้ว เวียดนามจะมีข้าวเหลือพอสำหรับการส่งออกในปีนี้ประมาณ 6.5-6.7 ล้านตัน ส่วนปริมาณการส่งออกข้าวของเวียดนามในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านตัน
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 รัฐบาลเวียดนามได้ พิจารณาปรับเพิ่มโควตาส่งออกข้าวสำหรับเดือนเมษายนจากเดิม 400,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน ซึ่งข้าวส่วนที่เพิ่ม
100,000 ตัน นี้ เป็นข้าวที่ถูกส่งไปที่ท่าเรือก่อนวันที่ 24 มีนาคม 2563 ที่รัฐบาลได้ประกาศห้ามส่งออกข้าวชั่วคราว
เพื่อเป็นการรับประกันว่าเวียดนามจะมีอาหารเพียงพอรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 รัฐบาลเวียดนามระบุว่า จะอนุญาตให้ส่งออกข้าวจำนวน 400,000 ตันในเดือนนี้ และมีคำสั่งให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (The Ministry of Industry and Trade) ไปดำเนินการร่างแผนส่งออกข้าวสำหรับเดือนพฤษภาคมและยื่นรายงานต่อรัฐบาลภายในวันที่ 25 เมษายน 2563
ด้านสมาคมอาหารเวียดนาม (The Vietnam Food Association; VFA) และบริษัทส่งออกข้าวออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการกำหนดโควตาส่งออกข้าวสำหรับเดือนพฤษภาคมนี้ โดยขณะนี้สมาชิกของสมาคมอาหารฯ มีอยู่ประมาณ 1.95 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้ รวมถึงข้าวที่มีการทำสัญญาส่งออกแล้วประมาณ 1.7 ล้านตัน
ขณะที่กระทรวงการค้า (Vietnam's Trade Ministry) ได้เสนอไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ยกเลิกการกำหนดโควตาส่งออกข้าวตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ตามที่มีข้อเรียกร้องจากภาคเอกชน โดยได้ตั้งข้อสังเกตว่าการส่งออกข้าวในช่วงนี้ ถูกกีดกันจากสาเหตุของความมั่นคงด้านอาหารในประเทศ ในขณะที่คาดว่าอุปทานข้าวของประเทศมี เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่รัฐบาลสามารถที่จะควบคุมภาวการณ์ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้แล้ว
ทางด้านกรมศุลกากรเวียดนามระบุว่า ณ เวลา 15.00 น. ของวันที่ 21 เมษายน 2563 ผู้ส่งออกข้าวได้ดำเนินพิธีการศุลกากรเพื่อส่งออกข้าวไปแล้วประมาณ 57,000 ตัน ภายใต้โควตาการส่งออกข้าว 400,000 ตันของเดือนเมษายน 2563
ขณะที่มีรายงานว่า ในช่วงตั้งแต่วันที่ 10-27 เมษายน 2563 มีการส่งออกข้าวไปแล้วประมาณ 210,980 ตัน จากโควตาที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 400,000 ตัน (คิดเป็นร้อยละ 52.7 ของปริมาณที่ได้มีการแจ้งขึ้นทะเบียนส่งออก)
ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือนนี้ นาย Nguyen Xuan Phuc นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้อนุมัติข้อเสนอของกระทรวง การค้าและอุตสาหกรรมในการส่งออกข้าวหลังจากที่ได้ประกาศระงับไว้ชั่วคราวตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2563
ที่ผ่านมา เพื่อรับประกันว่าเวียดนามจะมีอาหารเพียงพอที่จะรับมือกับการระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ซึ่งจากข้อมูลของกรมศุลกากรเวียดนามพบว่า ในช่วงวันที่ 11-12 เมษายน 2563 ผู้ประกอบการส่งออกได้มีการลงทะเบียนเพื่อส่งออกข้าวปริมาณรวม 399,999 ตัน ขณะที่กรมศุลกากรได้มีการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการส่งออกข้าวบนเว็บไซต์ www.custom.gov.vn ทุกๆ ชั่วโมง
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
อินโดนีเซีย
กระทรวงการค้า (The Trade Ministry) ระบุว่า สต็อกข้าวของประเทศที่จะได้มาจากผลผลิตข้าวที่กำลัง
เก็บเกี่ยว ซึ่งจะเพียงพอสำหรับการบริโภคไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนของปีนี้ โดยที่สมาคมโรงสีข้าวของอินโดนีเซีย
(the Indonesian Rice Millers and Entrepreneurs Association; Perpadi) คาดว่า ในปีนี้จะมีผลผลิตข้าวประมาณ 17.8 ล้านตัน ทั้งนี้ เมื่อรวมกับสต็อกข้าวในปัจจุบันที่มีประมาณ 3.3 ล้านตัน จะทำให้อุปทานข้าวในประเทศมีมากกว่าความต้องการบริโภคอยู่ประมาณ 6.2 ล้านตัน
ทางการระบุว่า ในขณะนี้ได้มีการกระจายข้าวไปยังส่วนต่างๆ ของประเทศ โดยความร่วมมือของภาคเอกชนหลายส่วน แต่อาจจะมีอุปสรรคทางด้านโลจิสติกส์บ้าง เนื่องจากมาตรการของรัฐบาลที่ต้องการลดการแพร่ระบาดของ
เชื้อไวรัส COVID-19
ด้านราคาข้าวในช่วงนี้ ศูนย์ข้อมูลราคาอาหารเชิงยุทธศาสตร์ (the Information Center for Strategic Food Prices; PIHPS) รายงานว่า ราคาปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.8 จากเดือนที่ผ่านมา โดยราคาเฉลี่ย
อยู่ที่ 11,950 รูเปียต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 770 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ประธานาธิบดีระบุว่า ราคาข้าว
มีแนวโน้มที่จะลดลง จากการที่ราคาข้าวเปลือกมีแนวโน้มลดลง โดยสำนักงานสถิติอินโดนีเซีย (Statistics Indonesia; BPS) รายงานว่าราคาข้าวเปลือกเฉลี่ยในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 4,936 รูเปียต่อกิโลกรัม ลดลงประมาณร้อยละ 4.6 จากปีที่แล้ว
ในช่วงปลายสัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วงเดือนรอมฎอน ซึ่งคาดว่าความต้องการบริโภคข้าวจะเพิ่มขึ้น และจากข้อมูลของสำนักงานความมั่นคงด้านอาหาร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (the Agriculture Ministry's Food Security Agency; BKP) ระบุว่า ความต้องการข้าวจะเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนเดือนรอมฎอนประมาณร้อยละ 3 และจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 ในช่วงเทศกาล Idul Fitri ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม โดยที่ทางรัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงาน Bulog (The State Logistics Agency) ดำเนินการจัดสรรข้าวออกสู่ตลาดเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการและรักษาระดับราคาข้าวให้มีเสถียรภาพ
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,699 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,642 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.39
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 9,548 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,546 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.02
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 34,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 16,250 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 16,170 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่ ) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,117 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,942 บาท/ตัน) ราคา
สูงขึ้นจากตันละ 1,113 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,867 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35 และสูงขึ้นในรูปเงินบาท
ตันละ 75 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 556 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,890 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 553 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,821 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.54 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 69 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 530 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,054 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 528 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,015 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.37 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 39 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 552 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,762 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 550 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,724 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.36 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 38 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.1769
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวไม่มาก โดยข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 440-450 ดอลลาร์สหรัฐฯ (สูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี) เนื่องจากในช่วงนี้ผู้ส่งออกไม่กล้าที่จะทำสัญญาขายข้าวเพราะไม่มั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบข้าวให้ผู้ซื้อได้หรือไม่ หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายจำกัดการส่งออกข้าว
ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการส่งออกข้าวของเวียดนามนั้น นายกรัฐมนตรี Nguyen Xuan Phuc ได้แถลงว่าจะยกเลิกการกำหนดโควตาส่งออกข้าวเพื่อฟื้นการส่งออกข้าวของประเทศให้กลับมาเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป หลังจากที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม (the Ministry of Industry and Trade) ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีให้ยกเลิกการกำหนดโควตาส่งออกข้าวตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้
เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุญาตให้ส่งออกข้าวได้อีกครั้งแต่จำกัดปริมาณการส่งออกใน
เดือนเมษายนที่ 500,000 ตัน เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศจะมีอาหารเพียงพอในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าระบุว่า หลังจากที่ได้มีการพิจารณาข้อมูลต่างๆ ทั้งการผลิตและความต้องการข้าว โดยได้จัดสรรส่วนหนึ่งไว้สำหรับการบริโภคภายในประเทศและเก็บสำรองแล้ว เวียดนามจะมีข้าวเหลือพอสำหรับการส่งออกในปีนี้ประมาณ 6.5-6.7 ล้านตัน ส่วนปริมาณการส่งออกข้าวของเวียดนามในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านตัน
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 รัฐบาลเวียดนามได้ พิจารณาปรับเพิ่มโควตาส่งออกข้าวสำหรับเดือนเมษายนจากเดิม 400,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน ซึ่งข้าวส่วนที่เพิ่ม
100,000 ตัน นี้ เป็นข้าวที่ถูกส่งไปที่ท่าเรือก่อนวันที่ 24 มีนาคม 2563 ที่รัฐบาลได้ประกาศห้ามส่งออกข้าวชั่วคราว
เพื่อเป็นการรับประกันว่าเวียดนามจะมีอาหารเพียงพอรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 รัฐบาลเวียดนามระบุว่า จะอนุญาตให้ส่งออกข้าวจำนวน 400,000 ตันในเดือนนี้ และมีคำสั่งให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (The Ministry of Industry and Trade) ไปดำเนินการร่างแผนส่งออกข้าวสำหรับเดือนพฤษภาคมและยื่นรายงานต่อรัฐบาลภายในวันที่ 25 เมษายน 2563
ด้านสมาคมอาหารเวียดนาม (The Vietnam Food Association; VFA) และบริษัทส่งออกข้าวออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการกำหนดโควตาส่งออกข้าวสำหรับเดือนพฤษภาคมนี้ โดยขณะนี้สมาชิกของสมาคมอาหารฯ มีอยู่ประมาณ 1.95 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้ รวมถึงข้าวที่มีการทำสัญญาส่งออกแล้วประมาณ 1.7 ล้านตัน
ขณะที่กระทรวงการค้า (Vietnam's Trade Ministry) ได้เสนอไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ยกเลิกการกำหนดโควตาส่งออกข้าวตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ตามที่มีข้อเรียกร้องจากภาคเอกชน โดยได้ตั้งข้อสังเกตว่าการส่งออกข้าวในช่วงนี้ ถูกกีดกันจากสาเหตุของความมั่นคงด้านอาหารในประเทศ ในขณะที่คาดว่าอุปทานข้าวของประเทศมี เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่รัฐบาลสามารถที่จะควบคุมภาวการณ์ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้แล้ว
ทางด้านกรมศุลกากรเวียดนามระบุว่า ณ เวลา 15.00 น. ของวันที่ 21 เมษายน 2563 ผู้ส่งออกข้าวได้ดำเนินพิธีการศุลกากรเพื่อส่งออกข้าวไปแล้วประมาณ 57,000 ตัน ภายใต้โควตาการส่งออกข้าว 400,000 ตันของเดือนเมษายน 2563
ขณะที่มีรายงานว่า ในช่วงตั้งแต่วันที่ 10-27 เมษายน 2563 มีการส่งออกข้าวไปแล้วประมาณ 210,980 ตัน จากโควตาที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 400,000 ตัน (คิดเป็นร้อยละ 52.7 ของปริมาณที่ได้มีการแจ้งขึ้นทะเบียนส่งออก)
ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือนนี้ นาย Nguyen Xuan Phuc นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้อนุมัติข้อเสนอของกระทรวง การค้าและอุตสาหกรรมในการส่งออกข้าวหลังจากที่ได้ประกาศระงับไว้ชั่วคราวตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2563
ที่ผ่านมา เพื่อรับประกันว่าเวียดนามจะมีอาหารเพียงพอที่จะรับมือกับการระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ซึ่งจากข้อมูลของกรมศุลกากรเวียดนามพบว่า ในช่วงวันที่ 11-12 เมษายน 2563 ผู้ประกอบการส่งออกได้มีการลงทะเบียนเพื่อส่งออกข้าวปริมาณรวม 399,999 ตัน ขณะที่กรมศุลกากรได้มีการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการส่งออกข้าวบนเว็บไซต์ www.custom.gov.vn ทุกๆ ชั่วโมง
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
อินโดนีเซีย
กระทรวงการค้า (The Trade Ministry) ระบุว่า สต็อกข้าวของประเทศที่จะได้มาจากผลผลิตข้าวที่กำลัง
เก็บเกี่ยว ซึ่งจะเพียงพอสำหรับการบริโภคไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนของปีนี้ โดยที่สมาคมโรงสีข้าวของอินโดนีเซีย
(the Indonesian Rice Millers and Entrepreneurs Association; Perpadi) คาดว่า ในปีนี้จะมีผลผลิตข้าวประมาณ 17.8 ล้านตัน ทั้งนี้ เมื่อรวมกับสต็อกข้าวในปัจจุบันที่มีประมาณ 3.3 ล้านตัน จะทำให้อุปทานข้าวในประเทศมีมากกว่าความต้องการบริโภคอยู่ประมาณ 6.2 ล้านตัน
ทางการระบุว่า ในขณะนี้ได้มีการกระจายข้าวไปยังส่วนต่างๆ ของประเทศ โดยความร่วมมือของภาคเอกชนหลายส่วน แต่อาจจะมีอุปสรรคทางด้านโลจิสติกส์บ้าง เนื่องจากมาตรการของรัฐบาลที่ต้องการลดการแพร่ระบาดของ
เชื้อไวรัส COVID-19
ด้านราคาข้าวในช่วงนี้ ศูนย์ข้อมูลราคาอาหารเชิงยุทธศาสตร์ (the Information Center for Strategic Food Prices; PIHPS) รายงานว่า ราคาปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.8 จากเดือนที่ผ่านมา โดยราคาเฉลี่ย
อยู่ที่ 11,950 รูเปียต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 770 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ประธานาธิบดีระบุว่า ราคาข้าว
มีแนวโน้มที่จะลดลง จากการที่ราคาข้าวเปลือกมีแนวโน้มลดลง โดยสำนักงานสถิติอินโดนีเซีย (Statistics Indonesia; BPS) รายงานว่าราคาข้าวเปลือกเฉลี่ยในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 4,936 รูเปียต่อกิโลกรัม ลดลงประมาณร้อยละ 4.6 จากปีที่แล้ว
ในช่วงปลายสัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วงเดือนรอมฎอน ซึ่งคาดว่าความต้องการบริโภคข้าวจะเพิ่มขึ้น และจากข้อมูลของสำนักงานความมั่นคงด้านอาหาร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (the Agriculture Ministry's Food Security Agency; BKP) ระบุว่า ความต้องการข้าวจะเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนเดือนรอมฎอนประมาณร้อยละ 3 และจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 ในช่วงเทศกาล Idul Fitri ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม โดยที่ทางรัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงาน Bulog (The State Logistics Agency) ดำเนินการจัดสรรข้าวออกสู่ตลาดเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการและรักษาระดับราคาข้าวให้มีเสถียรภาพ
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.47 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.52 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.66 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.97 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 5.98 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.17
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.73 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.82 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.02 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.38 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.45 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.83
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 274.60 ดอลลาร์สหรัฐ (8,836 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 276.60 ดอลลาร์สหรัฐ (8,914 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.72 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 78 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนพฤษภาคม 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 307.88 เซนต์ (3,952 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 316.44 เซนต์ (4,067 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.71 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 115 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.74 ล้านไร่ ผลผลิต 29.493 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.38 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.81 แต่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 5.11 และร้อยละ 5.85 ตามลำดับ โดยเดือนเมษายน 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.86 ล้านตัน (ร้อยละ 6.32 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 19.02 ล้านตัน (ร้อยละ 64.50 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง แต่ตลาดมันสำปะหลังอยู่ในภาวะชะงักงัน และหัวมันสำปะหลัง มีคุณภาพต่ำ ส่งผลให้ราคาหัวมันสำปะหลังลดต่ำลง ทั้งนี้หัวมันสำปะหลังส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่โรงงานแป้งมันสำปะหลัง สำหรับลานมันเส้นเปิดดำเนินการไม่มาก
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.71 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 1.73 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.16
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 4.78 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 4.82 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.83
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.99 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.98 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.17
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.65 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 215 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,918 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่าสัปดาห์ก่อน (6,922 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 425 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,675 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่าสัปดาห์ก่อน (13,683 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนเมษายนจะมีประมาณ 1.702 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.306 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.482 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.267 ล้านตัน ของเดือนมีนาคม คิดเป็นร้อยละ 14.84 และร้อยละ 14.61 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 2.76 บาท ลดลงจาก กก.ละ 2.98 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 7.38
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 20.75 บาท ลดลงจาก กก.ละ 21.93 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.38
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มมาเลเซียปิดตัวสูงขึ้นในวันที่ 30 เม.ย. 63 เนื่องจากราคาน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันดิบสูงขึ้น และอุปสงค์น้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้น ราคาอ้างอิงน้ำมันปาล์มรอบส่งเดือน ก.ค. ของตลาดเบอร์ซามาเลเซียปิดตัวที่ 51 ริงกิต สูงขึ้นจากอาทิตย์ที่แล้ว 0.34% ในเดือนเมษายน มาเลเซียส่งออกน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น 1% - 3.8% จากเดือนมีนาคม โดยในเดือนแรกที่มาเลเซียประกาศล็อคดาวน์ ปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มลดลง 47% FGV Holdings ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบที่ใหญ่ที่สุดของโลก คาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตของปี 2563 จะลดลงอย่างมาก เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 กระทบการทำงานของแรงงานและโรงงานผลิต
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,069.03 ดอลลาร์มาเลเซีย (15.64 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 2,171.77 ดอลลาร์มาเลเซีย (16.35 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.73
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 520.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16.96 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 528.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17.26 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.65
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
รายงานการผลิตน้ำตาลทรายของโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ
สำนักบริหารอ้อยและน้ำตาลทราย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ได้รายงานการเก็บเกี่ยวอ้อย และการผลิตน้ำตาลทรายประจำปีการผลิต 2562/63 ฉบับปิดหีบ ว่ามีอ้อยเก็บเกี่ยวเข้าโรงงานน้ำตาลจำนวน 74,893,175 ตัน แยกเป็นอ้อยสด 37,709,700 ตัน (ร้อยละ 50.35) และอ้อยไฟไหม้ 37,183,475 ตัน (ร้อยละ 49.65) ผลิตเป็นน้ำตาลได้ 8,294,329 ตัน แยกเป็นน้ำตาลทรายดิบ 6,331,644 ตัน และน้ำตาลทรายขาว 1,962,685 ตัน ค่าความหวานของอ้อยเฉลี่ย 12.68 ซี.ซี.เอส. ผลผลิตน้ำตาลทรายเฉลี่ยต่อตันอ้อย 110.75 กก.ต่อตันอ้อย
2. สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
รายงานสต็อกน้ำตาลทรายของสหภาพยุโรป
สหภาพยุโรป รายงานว่า ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 สต็อกน้ำตาลทรายมีจำนวน 11.86 ล้านตัน ลดลงจาก 12.78 ล้านตัน ในเดือนมกราคม 2563 ร้อยละ 7.20 แต่เพิ่มขึ้นจาก 11.79 ล้านตัน ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 0.59
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.79 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 16.93 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.08
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 833.80 เซนต์ (9.99 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 832.64 เซนต์ (9.99 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.13
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 285.52 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.31 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 287.98 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.40 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.85
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 25.47 เซนต์ (18.31 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 25.76 เซนต์ (18.54 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.12
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.79 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 16.93 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.08
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 833.80 เซนต์ (9.99 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 832.64 เซนต์ (9.99 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.13
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 285.52 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.31 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 287.98 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.40 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.85
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 25.47 เซนต์ (18.31 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 25.76 เซนต์ (18.54 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.12
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.50 บาท เพิ่มขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 23.79 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.19
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 44.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 963.80 ดอลลาร์สหรัฐ (31.01 บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 961.40 ดอลลาร์สหรัฐ (30.98 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.25 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 869.80 ดอลลาร์สหรัฐ (27.99 บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 867.80 ดอลลาร์สหรัฐ (27.97 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 995.00 ดอลลาร์สหรัฐ (32.02 บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 992.40 ดอลลาร์สหรัฐ (31.98 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.26 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 588.20 ดอลลาร์สหรัฐ (18.93 บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 586.80 ดอลลาร์สหรัฐ (18.91 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.24 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,392.00 ดอลลาร์สหรัฐ (44.86 บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 1,392.00 ดอลลาร์สหรัฐ (44.86 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.24 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 56.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.05 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 17.71
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.89 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 40.68 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 28.98
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.50 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 55.90 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 2.78
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 53.50 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 52.50 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 1.90
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 56.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.05 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 17.71
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.89 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 40.68 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 28.98
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.50 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 55.90 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 2.78
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 53.50 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 52.50 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 1.90
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนพฤษภาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 56.17 เซนต์(กิโลกรัมละ 40.38 บาท) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 54.65 เซนต์ (กิโลกรัมละ 39.34 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.78 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.04 บาท
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,785 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,467 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 888 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,467 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 888 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณสุกรออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคเนื้อสุกรที่เพิ่มขึ้นไม่มากนัก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 65.08 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 65.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.12 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 68.43 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.77 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 63.73 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 65.68 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,800 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 1,700 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.88
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท สูงขึ้นจากิโลกรัมละ 66.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.50
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะตลาดไก่เนื้อค่อนข้างเงียบเหงา ผลจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิค-19 ทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยลดลง ส่งผลให้ผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดมากและเริ่มสะสม แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 32.78 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 35.12 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 6.66 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 31.77 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.23 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 6.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 32.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 6.15 และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหลักของไข่ไก่สถานศึกษายังปิดภาคเรียน ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิค-19 ทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยน้อยลง ส่งผลให้ผลผลิตไข่ไก่ออกสู่ตลาดค่อนข้างมากและเริ่มสะสม
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 292 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 298 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.01 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 320 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 297 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 284 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 26.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 295บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 356 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 360 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.11 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 372บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 379 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 326 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 334 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 89.69 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 89.46 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.26 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 89.78 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 86.34 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 87.50 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 102.86 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 67.63 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 67.54 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.13 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.12 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 63.30 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณสุกรออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคเนื้อสุกรที่เพิ่มขึ้นไม่มากนัก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 65.08 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 65.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.12 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 68.43 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.77 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 63.73 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 65.68 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,800 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 1,700 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.88
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท สูงขึ้นจากิโลกรัมละ 66.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.50
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะตลาดไก่เนื้อค่อนข้างเงียบเหงา ผลจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิค-19 ทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยลดลง ส่งผลให้ผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดมากและเริ่มสะสม แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 32.78 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 35.12 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 6.66 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 31.77 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.23 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 6.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 32.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 6.15 และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหลักของไข่ไก่สถานศึกษายังปิดภาคเรียน ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิค-19 ทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยน้อยลง ส่งผลให้ผลผลิตไข่ไก่ออกสู่ตลาดค่อนข้างมากและเริ่มสะสม
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 292 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 298 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.01 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 320 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 297 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 284 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 26.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 295บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 356 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 360 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.11 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 372บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 379 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 326 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 334 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 89.69 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 89.46 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.26 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 89.78 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 86.34 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 87.50 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 102.86 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 67.63 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 67.54 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.13 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.12 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 63.30 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 24 – 30 เมษายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 82.83 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 83.17 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.34 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 134.48 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 129.64 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.84 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 134.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 135.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 69.37 บาท ราคา สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 62.34 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 7.03 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.47 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 31.40 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.60 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 25.40 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.60 บาท
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 24 – 30 เมษายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 82.83 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 83.17 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.34 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 134.48 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 129.64 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.84 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 134.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 135.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 69.37 บาท ราคา สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 62.34 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 7.03 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.47 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 31.40 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.60 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 25.40 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.60 บาท